
คนรวยคนจนเหลื่อมล้ำกันสุดกู่ เสนอให้เก็บภาษีคนรวยเพิ่ม
เศรษฐกิจ การประชุมสุดยอดผู้นำโลกทางเศรษฐกิจ World economic Forum 2023 ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตฯ ได้มีการเผยแพร่รายงานของ Oxfam เรื่อง การอยู่รอดของคนรวยที่สุด Survival of the Richest โดยระบุว่า ความมั่งคั่งใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2020 เกือบ 2 ใน 3 หรือ 46 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (คูณด้วย 34 บาทต่อดอลลาร์เท่ากับ 1,564 ล้านล้านบาท) เป็นความมั่งคั่งที่มาจากคนรวยระดับ “อภิมหาเศรษฐี” (Ultra-rich) เพียง 1% เท่านั้น ส่วนประชากรโลกที่เหลืออีก 99% มีมูลค่าความมั่งคั่งใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 16 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 544 ล้านล้านบาท) เรียกว่าห่างกันแบบสุดหล้าฟ้าเขียวเลยทีเดียว นี่คือ อภิมหาความเหลื่อมลํ้า ที่เกิดขึ้นกับ ประชากรโลก 8,000 ล้านคน ในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น ออกซ์เฟม ระบุว่า ภาวะความรํ่ารวยสุดขั้ว และ ความยากจนสุดขั้ว ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี กาเบรียลา บูเซอร์ กรรมการบริหารออกซ์เฟม ให้ความเห็นว่า การเก็บภาษีจากอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้และบริษัทขนาดใหญ่ จะเป็นทางออกสำหรับวิกฤติซ้อนวิกฤติในวันนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง ขจัดมายาคติที่ว่า การลดภาษีให้กลุ่มคนรํ่ารวยที่สุด จะทำให้เกิดการเฉลี่ยความมั่งคั่งลงไปถึงคนอื่นๆ แต่ตลอด 40 ปีที่มีการลดภาษีให้กับอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า นํ้าขึ้นไม่ได้ช่วยยกเรือทุกลำ แต่ยกแค่เรือซุปเปอร์ยอชต์ของมหาเศรษฐีเท่านั้น (เหมือนนโยบาย “พี่อุ้มน้อง” ของไทยเปี๊ยบเลย ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ช่วยอุ้มเอสเอ็มอี สุดท้ายบริษัทยักษ์ใหญ่รวยกันถ้วนหน้า แต่เอสเอ็มอีตายเรียบ) รายงาน ออกซ์เฟม ระบุว่า อภิมหาเศรษฐี 1 คน รวยขึ้นราว 1.7 ล้านดอลลาร์ (ราว 60 ล้านบาท) จากทุก 1 ดอลลาร์ (34 บาท) ที่กลุ่มคนยากจนที่สุด 90% ของประชากรโลกหาได้ ข่าวเศรษฐกิจ ในแต่ละวัน อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้รวยขึ้นวันละ 2,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 91,800 ล้านบาท) กลุ่มคนรํ่ารวยที่เพิ่มขึ้นในปี 2565 เป็นกำไรจากธุรกิจอาหารและพลังงานที่มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทอาหารและพลังงาน 95 แห่ง มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2565 กว่า 306,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 10.4 ล้านล้านบาท) และจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างอู้ฟู่ 257,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 8.73 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 84% ของกำไร เช่น ตระกูลวอลมาร์ท เจ้าของห้างวอลมาร์ท ในสหรัฐฯ มีรายได้สูงถึง 8,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 289,000 ล้านบาท) ในปี 2565 กัวตัม อดานี อภิมหาเศรษฐีอินเดีย เจ้าของบริษัทพลังงานรายใหญ่ ปี 2565 ปีเดียวรํ่ารวยขึ้นกว่า 42,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.42 ล้านล้านบาท) อภิมหาเศรษฐีเมืองไทย ก็รํ่ารวยขึ้นไม่แพ้ประเทศอื่น ถ้าบวกช่วง 8 ปีของรัฐบาล คสช. ความรํ่ารวยของมหาเศรษฐีและนักการเมืองไทย น่าจะสูงกว่าที่ออกซ์เฟมคำนวณไว้ ในขณะที่คนยากจนในเมืองไทยกลับเพิ่มเป็นเกือบ 20 ล้านคน จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง ผลกำไรส่วนเกิน ที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล ได้ผลักดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอัตราเงินเฟ้อ เช่นใน สหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย ขณะเดียวกันก็มี คนงานอย่างน้อย 1,700 ล้านคนทั่วโลก ต้องใช้ชีวิตในประเทศที่เงินเฟ้อสูงกว่าค่าจ้าง และ ประชากรอีก 820 ล้านคน หรือ 1 ใน 10 ของประชากรโลก กำลังประสบกับความหิวโหย ออกซ์เฟม ได้ยกตัวอย่าง อีลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีโลกคนหนึ่ง เสียภาษีจริงในอัตรา 3% ระหว่างปี 2557-2561 ขณะที่ เอเบอร์ คริสติน พ่อค้าแป้งในยูกันดา มีรายได้เดือนละ 80 ดอลลาร์ แต่ต้องเสียภาษีในอัตรา 40% นี่คือความเหลื่อมลํ้าที่สุดขั้ว ผมเห็นด้วยกับ ออกซ์เฟม ที่เสนอให้ เก็บภาษีอภิมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมลํ้า และฟื้นคืนประชาธิปไตย เศรษฐียิ่งรวยก็ยิ่งงก ที่ดินวาละหลายล้าน เอาไปปลูกกล้วย เพื่อเลี่ยงภาษีที่ดินไม่กี่หมื่นบาท แต่รัฐบาลก็ไม่กล้าไปเก็บภาษีเศรษฐี
แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : สินค้า “จีไอ” ยอดขายพุ่ง 4.8 หมื่นล้าน ขึ้นทะเบียนจีไอแล้ว 177 สินค้า